คาสิโนออนไลน์ตามหาโอกาสที่จะเจอไข่มุกธรรมชาติ
สุดยอดของสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและสถานะทางสังคมแห่งอาณาจักโรมันโบราณ คือความมั่นใจอันสูงส่งทั้งด้วยความงามอันหาใดเปรียบและความเกี่ยวพันความรักและการแต่งงานของกรีก แม้ในยุคมืดยังเป็นที่เทิดทูนว่ามีค่ายิ่งในหมู่สตรีพรหมจรรย์ชนชั้นสูง อีกทั้งเหล่าอัศวินผู้กล้ายังสวมใส่ไปออกศึก ด้วยต่างเชื่อว่าป้องกันภยันตรายได้ ครั้งหนึ่งเคยดารดาษทั่วราชสำนักยุโรปยุคฟื้นฟูศิลปวิทยากร มีรายงานว่ากระทั่งคลีโอพัตรายังนำมาละลายในไวน์ดื่ม ด้วยให้ความรู้สึกว่าเพียงจิบเดียวก็ได้กำซาบซึ่งความมั่งคั่งของทั้งชาติ
ทั้งหมดนั้นคือคุณค่าอันจารึกในประวัติศาสตร์ ที่คาสิโนออนไลน์ JackpotCityพบว่าเกิดจาก “ความงาม” และ “ความหายาก” ของหนึ่งในอัญมณีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง “ไข่มุก”
ไข่มุกมาจากไหน
ไข่มุกเกิดจากหอยมุกหรือหอยนางรม และถึงจะเรียกว่าว่าไข่แต่ก็ไม่ใช่ไข่ของหอยแต่อย่างไร แท้จริงแล้วหอยมุกเกิดจากการที่มีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในเปลือกหอย ซึ่งกลไกของหอยนั้นไม่เหมือนปากมนุษย์ที่เมื่อมีสิ่งไม่พึงประสงค์เข้าปากแล้วสามารถคายออกมาได้ พวกมันจึงหลั่งเอาสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตที่เรียกว่า “แนกเกอร์” (nacre) ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมนั้นไว้เป็นเพื่อลดการระคายเคือง โดยจะเคลือบเป็นชั้นหนาขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าความระคายเคืองนั้นจะหมดไป และเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งแปลกปลอมที่เคลือบด้วยแนกเกอร์นี้นี่เองที่กลายมาเป็นไข่มุกอย่างที่เราเห็นๆ กัน
และนั่นก็อาจเรียกได้ว่า ไข่มุกที่มนุษย์เราหลายๆ คนต้องการนั้น แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่หอยมุกไม่ต้องการเลยนั่นเอง
คาสิโนออนไลน์ลองตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า การที่กระบวนการสร้างไข่มุกเป็นเช่นนั้นก็ทำให้มักมีความเข้าใจผิดว่า เพียงเม็ดทรายหลงเข้าไปก็จะกลายเป็นไข่มุกขึ้นมาในที่สุด ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น เพราะจริงๆ แล้วนอกจากหอยมุกจะมีกระบวนการในการเป่าทรายออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะก่ออาการระคายเคืองจนหลั่งแนกเกอร์ออกมาเคลือบจะต้องมีความร้ายแรงกว่าเพียงเม็ดทราย คืออาจะเป็นเศษกระดูก เศษปะการัง หรือกระทั่งตัวปรสิตที่จ้องจะจู่โจมพวกมัน
ไข่มุกน้ำจืดและไข่มุกน้ำเค็ม
หอยมุกที่จะให้กำเนิดมุกนั้นมีทั้งหอยมุกน้ำจืดและหอยมุกน้ำเค็ม ซึ่งแน่นอนว่าก็นำมาซึ่งไข่มุกน้ำจืดและไข่มุกน้ำเค็มด้วย หอยมุกน้ำจืดจะใช้เวลาในการผลิตมุกที่สั้นกว่าและได้จำนวนมากกว่า คือภายในเวลา 1-6 ปีหอยมุกน้ำจืดตัวหนึ่งอาจผลิตไข่มุกได้ถึง 40 เม็ด ในขณะที่หอยมุกน้ำเค็มตัวหนึ่งอาจผลิตไข่มุกได้เพียง 2 เม็ดโดยใช้เวลา 5-20 ปี และด้วยเหตุนี้ ไข่มุกน้ำเค็มจึงมีราคาสูงกว่าไข่มุกน้ำจืดมาก
ไข่มุกธรรมชาติ
โอกาสที่จะพบเจอไข่มุกในธรรมชาตินั้นอยู่ที่ประมาณ 0.0001 เปอร์เซ็นต์หรือก็คือหนึ่งในหมื่น และหนึ่งในหมื่นนี้ยังเป็นโอกาสที่ไม่มีการรับประกันว่าจะได้พบกับหอยมุกที่เป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบและสีสันงดงามด้วย เพราะอย่างที่บอกไปว่าไข่มุกนั้นเกิดจากการที่หอยมุกใช้หลั่งสารแนกเกอร์ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมเพื่อลดการระคายเคือง โดยจะเคลือบเป็นชั้นๆ พอกพูนไปเรื่อยๆ ดังนั้น หากสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในเปลือกหอยไม่ได้ที่ลักษณะเป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบ ย่อมมีโอกาสน้อยมากที่หอยมุกซึ่งเกิดมาตามธรรมชาตินี้จะมีลักษณะเป็นทรงกลมสวยงาม
ไข่มุกเลี้ยง
ถ้าอย่างนั้น ไข่มุกเม็ดกลมเกลี้ยงเกลาที่เราเห็นๆ กันมาจากไหน คำตอบก็คือ เกิดจากการเพาะเลี้ยงด้วยฝีมือมนุษย์
การที่หอยมุกเลี้ยงจะผลิตไข่มุกขึ้นมาได้นั้นก็เหมือนการผลิตไข่มุกตามธรรมชาติ คือต้องมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในเปลือกหอยเพื่อให้หอยสร้างแนกเกอร์ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมนั้น ซึ่งสิ่งที่แปลกปลอมที่จะใส่เข้าไปเพื่อเป็น “แกนมุก” นั้นอาจเป็นได้ตั้งแต่เนื้อเยื่อหอยอีกตัวไปจนถึงกระเบื้อง หินอ่อน พลาสติก หรือเปลือกหอยชนิดต่างๆ ซึ่งก็แน่นอนว่า แกนมุกแบบที่เป็นของแข็งนั้นจะช่วยกำหนดรูปทรงของไข่มุกที่จะเกิดขึ้นให้มีความกลมมากกว่า เพราะสามารถแต่งให้เป็นทรงกลมได้ตั้งแต่ก่อนจะใส่เข้าไปในเปลือกหอย
ความเป็นมาของไข่มุกเลี้ยง
คาสิโนออนไลน์ไปลองสืสบเสาะมาแล้วพบว่า ค.ศ. 1878 ณ เมืองโตบะ จังหวัดชิมะ (ปัจจุบันคือจังหวัดมิเอะ) ประเทศญี่ปุ่น โคคิจิ มิชิโมโตะ ในวัย 20 ปีได้สังเกตขึ้นมาว่าหอยมุกที่ขายๆ กันอยู่นั้นต่างเต็มไปด้วยตำหนิมากมาย และนั่นทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างไข่มุกอันสมบูรณ์แบบขึ้นมา สิบปีต่อมา ค.ศ. 1888 มิชิโมตะที่มีภรรยาเป็นหุ้นส่วนก็กู้เงินมาทำฟาร์มหอยมุกเลี้ยงแห่งแรกขึ้น
มิชิโมโตะใช้เวลาถึง 5 ปีจึงสามารถทำให้หอยมุกผลิตไข่มุกทรงครึ่งวงกลมขึ้นมาได้เมื่อจวนเจียนจะล้มละลายในปี ค.ศ. 1983 กระนั้น การค้นพบอันยิ่งใหญ่นี้กลับมาพร้อมการขายที่ยากยิ่งในช่วงแรก เพราะผู้คนต่างยังสับสนระหว่างไข่มุกธรรมชาติละไข่มุกเลี้ยงของเขา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว มิชิโมโตะเลยเปิดร้านอัญมณีขึ้นในย่านกินซ่าเพื่อให้คนงานของเขาได้อธิบายให้คนเข้าใจถึงความเป็นมาและลักษณะของไข่มุกเลี้ยง
กระนั้น กว่ามิชิโมโตะจะสามารถสร้างไข่มุกทรงกลมสมบูรณ์แบบที่แทบไม่แตกต่างจากไข่มุกตามธรรมชาติได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 12 ปี แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะเมื่อเขาได้พบกับนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างโทมัส อัลวา เอดิสัน ในปี ค.ศ. 1927 เอดิสันถึงกับต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นไข่มุกเลี้ยงของมิชิโมโตะ เพราะมัน “ไม่ควรจะเป็นไปได้ในทางชีววิทยา”
ไข่มุกภายใต้แบรนด์ของมิชิโมโตะยังคงมีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน โดยแบรนด์ของเขาได้เป็นผู้ทำเครื่องประดับให้กับการประกวด Miss USA (ค.ศ. 2003–2008), Miss Universe (ค.ศ. 2002–2007 และ 2017 ถึงปัจจุบัน) และ Miss Teen USA (ค.ศ. 2002–2008)
ไข่มุกประเภทต่างๆ
1. ไข่มุกอะโกย่า (Akoya Pearl) ที่ไดชื่อเช่นนี้ก็เพราะคิดค้นวิธีเพาะเลี้ยงสำเร็จที่เมืองอะโกย่า ประเทศญี่ปุ่น โดยทั่วไปขนาดเล็กกว่า 10 มิลลิเมตร แต่ถือเป็นมุกชั้นดีและมีความแวววาวมากที่สุด
2. มุกตาฮิติ (Tahitian Pearl) ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานามว่าเป็น “ราชินีแห่งไข่มุก” ไข่มุกดำตาฮิติจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ คือมีขนาดได้ตั้งแต่ 8–18 มิลลิเมครเลยทีเดียว และแม้จะได้ชื่อว่าไข่มุกดำแต่ก็มีความหลากหลายของสีมากที่สุด
3. มุกทะเลใต้ (South Sea Pearl) มักเรียกออกเสียงทับศัพท์ว่า “มุกเซาท์ซี” เป็นมุกขนาดใหญ่และเกิดจากหอยมุกขนาดใหญ่พันธุ์หายาก มีขนาดได้ตั้งแต่ 10-20 มิลลิเมตร
4. เป็นมุกน้ำจืด บ้างเรียกว่ามุกจีนเพราะมาจากประเภทจีน ที่นอกจากจะส่งออกในฐานะเครื่องประดับแล้วยังใช้ทำเครื่องสำอางด้วย ส่วนมุกน้ำจืดจากประเทศญี่ปุ่นมักเรียกมุกบิวะ (Biwa Pearl) โดยมาจากชื่อทะเลสาบบิวะอันเป็นแหล่งเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดคุณภาพดีนั่นเอง
5. มุกเคชิ (Keshi Pearl) เป็นไข่มุกที่อาจเรียกได้ว่าอยู่กึ่งกลางระหว่างไข่มุกธรรมชาติและไข่มุกเลี้ยง เพราะมั้งไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่ได้เกิดจากการเพาะเลี้ยงโดยตรง แต่เป็นผลพลอยได้ที่เกิดเคียงคู่ไปกับการเพาะเลี้ยงหอยมุก โดยมุกเคชิจะเป็นมุกแบบไม่มีแกนมุก ทำให้มีรูปร่างหลากหลาย
ผู้ส่งออกไข่มุกรายใหญ่ที่สุด
ในปี ค.ศ. 2019 เว็บไซต์ OEC (Observatory of Economic Complexity) ได้จัดอันดับประเทศผู้ส่งออกไข่มุกรายใหญ่ของโลกตามมูลค่าการส่งออกไว้ ดังนี้ อันดับหนึ่ง ญี่ปุ่น (287 ล้านดอลลาร์), อันดับสอง ออสเตรเลีย (146 ล้านดอลลาร์), อันดับสาม อินโดนีเซีย (109 ล้านดอลลาร์), อันดับสี่ เฟรนช์โพลินีเซีย (88.9 ล้านดอลลาร์ และอันดับห้า จีน (62.2 ล้านดอลลาร์) ส่วนในด้านของกานำเข้านั้น อันดับหนึ่งคือ ฮ่องกง (366 ล้านดอลลาร์), อันดับสอง ญี่ปุ่น (286 ล้านดอลลาร์), อันดับสาม สหรัฐอเมริกา (71.6 ล้านดอลลาร์), อันดับสี่ ออสเตรเลีย (29.9 ล้านดอลลาร์) และอันดับห้า อินเดีย (25.9 ล้านดอลลาร์)
หอยมุกกับหอยนางรม และคนที่เจอไข่มุกในหอยนางรม
โดยทั่วไปเราอาจเข้าใจว่า “หอยมุก” และ “หอยนางรม” เป็นหอยประเภทเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้หอยนางรมจะผลิตไข่มุกได้ แต่ก็ไม่ได้ให้ไข่มุกที่สวยงามอย่างที่ได้จากหอยมุก
และหากว่ากันในทางชีววิทยาแล้ว แม้ชื่อในภาษาอังกฤษอาจมีคำว่า oyster เหมือนกัน และหอยนางรมที่เรานำมารับประทานกับหอยมุกก็มีความใกล้ชิดกัน แต่ความใกล้ชิดระหว่างหอยนางรมที่เรานำมารับประทานกันกับหอยมุกที่ใช้เพื่อผลิตไข่มุกนั้นน้อยกว่าความใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กับลิงอุรังอุตังเสียอีก
กระนั้น ก็ดังบอกไปแต่ต้นว่าอย่างไรเสียหอยนางรมเองก็สามารถผลิตไข่มุกได้เช่นกัน ดังนั้น ก็เลยมีกรณีที่คนเราไปสั่งหอยนางรมกินในร้านอาหาร แล้วกลับบังเอิญพบว่ามีไข่มุกอยู่ในนั้นด้วย!
กรณีแรกเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 ริก แอนทอช ชาวอเมริกาวัย 66 ปี สั่งสตูว์ที่มีหอยนางรมหกตัวมากินแล้วก็ต้องผงะเมื่อเคี้ยวไปโดนของแข็งบางอย่าง ทีแรกนั้นแอชทอชถึงกับสะพรึงเพราะนึกว่าตัวเองฟันหักหรือที่อุดฟันหลุดออกมา ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้วตัวเองเคี้ยวโดนไข่มุก และมีการประเมินจากผู้ค่าไข่มุกว่า แม้ไข่มุกที่แอนทอชพบจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่มันก็อาจขายได้ในราคา 2,000-4,000 ดอลลาร์ (60,000-120,000 บาท) ทว่านั่นก็เป็นการประเมินจากรูปถ่าย พอได้เห็นไข่มุกที่แอนทอชพบเข้าจริงๆ เขาก็บอกว่าคงได้ราคาแถวๆ 400 ดอลลาร์หรือประมาณ 12,000 บาทเท่านั้น
กรณีต่อมาเกิดขึ้นในเดือนเดียวกันและปีเดียวกัน เมื่อคริสติน พูลาสกี อายุ 29 ปี เคี้ยวเจอไข่มุกในอาหารเช่นเดียวกับแอนทอช มันเป็นไข่มุกเม็ดเล็กสีขาว ฟังดูเหมือนส้มหล่นลูกโต แต่เมื่อนำไปประเมินราคาแล้ว เจ้าของร้าน (คนเดียวกับที่ประเมินราคาไข่มุกของแอนทอช) ประเมินว่าไข่มุกที่พูลาสกีเจอมีราคาเพียง 200 เหรียญหรือประมาณ 6,000 บาทเท่านั้น ซึ่งนั่นถูกกว่าของแอนทอชตั้งครึ่ง!
เขาให้เหตุผลว่า แม้โดยทั่วไปไข่มุกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจะมีราคาที่สูงมาก แต่พอมีรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์และไม่ได้มีความเงางาม ราคาก็จะต่ำลงไปตามสภาพเช่นนี้
เห็นอย่างนี้แล้วก็สงสัยขึ้นมาว่า ถ้าไปรับประทานอาหารในคาสิโนต่างๆ ทั่วโลกที่จัดว่ามีอาหารชวนชิมแล้วละก็ เราจะมีโอกาสเจอไข่มุกอย่างนี้บ้างไหมนะ?